ยอห์นบทที่ 7-8 เป็นเรื่องต่อเนื่อง เป็น ยูนิตเดียวกัน ทาวน์เฮ้าส์สองคูหาต่อกัน มีส่วนหัวและส่วนท้าย ต้องอ่าน และศึกษาตีความไปพร้อมกับ อ่านอย่างต่อเนื่องโดยมีเปาหมาย เห็นส่วนต่างๆของแต่ละช่วง และภาพรวมของสองบทนี้ไปด้วยกัน .... "ทั้งสองบทอยู่ในช่วงเทศกาลอยู่เพิง" Feast of Tabernacles ของชาวยิว ก่อนเข้าสู่บทเรียนแสนยาวครอบคุมสองบท จำเป็นต้องมีการเตรียมการก่อน
คือ
อ่าน ทั้งสองบทอย่างต่อเนื่อง
เข้าใจโครงสร้าง เห็นจุดสำคัญๆในโคงสร้าง
วิธีการบันทึกของยอห์น
และเข้าใจภูมิหลังเรื่องการฉลองเทศกาลอยู่เพิง
มีเวลาอ่านตัวบท และ/หรือ ฟังเสียงพระวรสาร สองบทนี้ต่อกัน จะช่วยได้ รอการบรรยายต่อไป... ครับ
IV. การฉลองเทศกาลอยู่เพิง
พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลอง
7 1หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์aจะเสด็จไปทั่วแคว้นยูเดียเพราะชาวยิวกำลังพยายามจะฆ่าพระองค์
2งานฉลองเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว 3บรรดาพี่น้องของพระองค์bกล่าวกับพระองค์ว่า “จงออกจากที่นี่ เดินทางไปในแคว้นยูเดียเถิด เพื่อบรรดาศิษย์ของท่านcจะเห็นกิจการที่ท่านทำด้วย 4ไม่มีใครซ่อนเร้นสิ่งใด ถ้าต้องการให้ทุกคนรู้ ถ้าท่านกำลังทำกิจการเหล่านี้อยู่ ก็จงแสดงตนให้โลกเห็นเถิด” 5แม้แต่พี่น้องของพระองค์ก็ไม่เชื่อในพระองค์ 6พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เวลาของเรายังมาไม่ถึงdแต่เวลาของท่านทั้งหลายนั้นพร้อมอยู่เสมอ 7โลกไม่เกลียดชังท่าน แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานยืนยันว่ากิจการของโลกนั้นชั่วร้าย 8ท่านทั้งหลายจงขึ้นไปร่วมงานฉลองกันเถิด เราจะไม่ขึ้นไปeร่วมงานฉลองนี้ เพราะเวลาของเรายังไม่ครบกำหนด” 9เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ยังประทับอยู่ในแคว้นกาลิลีต่อไป
10อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาพี่น้องของพระองค์ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น 11ในระหว่างงานฉลอง ชาวยิวพยายามแสวงหาพระองค์ พูดกันว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน” 12ประชาชนซุบซิบกันมากfถึงพระองค์ บางคนพูดว่า “เขาเป็นคนดี” บางคนพูดว่า “ไม่ใช่ เขาหลอกลวงประชาชนต่างหาก” 13แต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะกลัวชาวยิว
14เมื่อเทศกาลฉลองผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังพระวิหารและทรงเริ่มเทศน์สอนg 15ชาวยิวต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ผู้นี้รู้พระคัมภีร์ได้อย่างไร เพราะไม่เคยศึกษาในสำนักใดเลย” 16พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า
“คำสอนของเราไม่ใช่ของเรา
แต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา
17ผู้ใดต้องการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ผู้นั้นจะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้า
หรือว่าเราพูดตามใจตนเอง
18ผู้ที่พูดตามใจตนเอง
ย่อมแสวงหาเกียรติของตน
แต่ผู้ที่แสวงหาพระสิริรุ่งโรจน์ของผู้ทรงส่งเขามา
ย่อมพูดความจริง
และไม่มีความทุจริตแต่อย่างใด
19โมเสสให้ธรรมบัญญัติแก่ท่านทั้งหลายมิใช่หรือ
ถึงกระนั้น ไม่มีท่านใดปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้น
ทำไมท่านจึงพยายามจะฆ่าเรา” 20ประชาชนตอบว่า “ท่านถูกปีศาจสิงแล้ว ใครพยายามจะฆ่าท่าน” 21พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราได้ทำเพียงกิจการเดียว และท่านทุกคนก็แปลกใจ 22โมเสสได้กำหนดให้ท่านเข้าสุหนัต อันที่จริง พิธีสุหนัตไม่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ และท่านก็ทำพิธีสุหนัตในวันสับบาโตด้วย 23ถ้ามนุษย์รับพิธีสุหนัตในวันสับบาโตได้โดยไม่ละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสส ทำไมท่านจึงโกรธ ที่เราได้รักษาคนคนหนึ่งในวันสับบาโตให้หายขาดจากโรคและแข็งแรงดังเดิมh 24อย่าตัดสินตามที่เห็น แต่จงตัดสินตามความยุติธรรมเถิด”
ประชาชนถกเถียงกันเรื่องต้นกำเนิดของพระเมสสิยาห์
25ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขาพยายามจะฆ่า 26ดูซิ คนนี้กำลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจiยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ 27พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน”j
28ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า
“ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน
เราไม่ได้มาตามใจตนเอง
พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะk
ท่านไม่รู้จักพระองค์
29แต่เรารู้จักพระองค์
เพราะเรามาจากพระองค์l
และพระองค์ทรงส่งเรามา”
30คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง
พระเยซูเจ้าทรงทำนายว่าจะทรงจากไป
31ประชาชนจำนวนมากเชื่อในพระองค์ พูดว่า “เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงทำเครื่องหมายอัศจรรย์มากกว่าที่ผู้นี้ได้ทำหรือ” 32ชาวฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบเกี่ยวกับพระองค์เช่นนี้ จึงร่วมมือกับบรรดาหัวหน้าสมณะmส่งยามรักษาพระวิหารไปจับกุมพระองค์
33พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า
“เราอยู่กับท่านอีกไม่นาน
แล้วเราจะกลับไปหาพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา
34ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบn
เราอยู่ที่ไหน
ท่านไปที่นั่นไม่ได้”
35ชาวยิวจึงพูดกันว่า “คนนี้กำลังจะไปไหนเราจึงพบเขาไม่ได้ เขาตั้งใจจะไปหาชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่ชาวกรีก และตั้งใจไปสอนชาวกรีกหรือ 36เขาหมายถึงอะไรเมื่อกล่าวว่า
‘ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบ’
และ ‘เราอยู่ที่ไหน
ท่านไปที่นั่นไม่ได้’”
พระเยซูเจ้าทรงสัญญาจะประทานน้ำที่ให้ชีวิต
37ในวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิงซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดoพระเยซูเจ้าทรงยืนและตรัสเสียงดังว่า
“ผู้ใดกระหาย จงมาหาเราเถิดp
38ผู้ที่เชื่อในเรา จงดื่มเถิด
ตามที่พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ลำธารที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาqจากภายในผู้นั้นr’”
39พระเยซูเจ้าตรัสดังนี้หมายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ แต่เวลานั้นพระเจ้ามิได้ประทานพระจิตเจ้าให้s เพราะพระเยซูเจ้ายังมิได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
ประชาชนโต้เถียงกันอีกเรื่องต้นกำเนิดของพระเมสสิยาห์
40เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็นประกาศกจริงๆ” 41บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ 42พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้าจะต้องมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮมt เมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่” 43ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์ 44บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือจับกุม
45ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถามเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายไม่นำเขามาด้วย” 46ทหารยามตอบว่า “ไม่มีคนใดพูดจาเหมือนกับชายผู้นี้เลย” 47ชาวฟาริสีถามว่า “ท่านทั้งหลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ 48มีหัวหน้าหรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา 49แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว” 50ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้นกล่าวกับเขาว่า 51”ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำให้การของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำอะไร” 52เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจากแคว้นกาลิลีเลย”
หญิงผิดประเวณี
53แล้วทุกคนก็กลับบ้าน
8 1พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ
2เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อม
พระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน
3บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง 4แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี 5ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” 6เขาถามพระองค์เช่นนี้เพื่อจับผิดพระองค์ หวังจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดินa 7เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” 8แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป 9เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม 10พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” 11หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องโลก
12พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่า
“เราเป็นแสงสว่างส่องโลก
ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืด
แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต”
พระเยซูเจ้าทรงเป็นพยานให้ตนเอง
13ชาวฟาริสีกล่าวกับพระองค์ว่า “ท่านเป็นพยานให้กับตนเอง คำยืนยันเป็นพยานของท่านจึงไม่น่าเชื่อถือ” 14พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
“แม้เราจะเป็นพยานให้ตนเอง
คำยืนยันเป็นพยานของเราก็น่าเชื่อถือ
เพราะเรารู้ว่า
เรามาจากไหน และกำลังจะไปไหน
แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า
เรามาจากไหน และกำลังจะไปไหนc
15ท่านพิพากษาตามมาตรการของมนุษย์d
แต่เราไม่พิพากษาeผู้ใด
และถึงแม้ว่าเราพิพากษาผู้ใด
คำพิพากษาของเราก็น่าเชื่อถือ
เพราะเราไม่อยู่คนเดียว
แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงอยู่กับเราด้วย
17ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายมีเขียนไว้ว่า
‘คำยืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็นที่น่าเชื่อถือ’
18เราเป็นพยานให้ตนเอง
และพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย”
19เขาเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ใด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า
“ท่านทั้งหลายไม่รู้จักทั้งเรา ทั้งพระบิดาของเรา
ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านคงรู้จักพระบิดาของเราด้วย”
20พระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ในบริเวณที่วางของถวาย ขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง
21พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า
“เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา
แต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่านf
ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”
22ชาวยิวจึงพูดว่า ”เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” 23พระเยซูเจ้าตรัสว่า
“ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง
แต่เรามาจากเบื้องบน
ท่านเป็นของโลกนี้
แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้
24 ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน
ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นg
ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน”
25เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระองค์ตรัสตอบว่า
“เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกhแล้ว
26เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษา
เกี่ยวกับท่าน
แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ
สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์
เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้”
27คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา 28พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า
“เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น
เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็นi
และรู้ว่าเราไม่ทำอะไรตามใจตนเอง
แต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้
29พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา
พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพัง
เพราะเราทำตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ”
30เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์
พระเยซูเจ้าและอับราฮัม
31พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า
“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา
ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง
32ท่านจะรู้ความจริงj
และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ”
33คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ’” 34พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาปk
35ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป
แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป
36ดังนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ
ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง
37เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม
แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา
เพราะวาจาของเราไม่ซึมซาบเข้าไปในท่าน
38เราบอกสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อเราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดา
ท่านทั้งหลายก็ทำตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย”
39คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
“ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม
ท่านจงทำกิจการของอับราฮัมเถิดl
40แต่บัดนี้ ท่านกำลังพยายามจะฆ่าเรา
ซึ่งเป็นคนบอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้าให้ท่านฟัง
อับราฮัมไม่เคยทำเช่นนี้เลย
41ท่านไม่ทำกิจการของอับราฮัม แต่ทำกิจการของบิดาของท่าน”
คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อmบิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า” 42พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
“ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา
เพราะเรามาจากพระเจ้า
เราไม่ได้มาตามใจตนเอง
แต่พระองค์ทรงส่งเรามา
43ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด
เพราะท่านฟังถ้อยคำของเราไม่ได้n
44ท่านมาจากปีศาจซึ่งเป็นบิดาของท่าน
ท่านต้องการทำตามความปรารถนาของบิดาของท่าน
บิดาของท่านเป็นฆาตกรมาตั้งแต่แรกเริ่ม
เขาไม่ยืนหยัดoอยู่ในความจริง
เพราะความจริงไม่อยู่ในเขา
เมื่อเขาพูดเท็จ
เขาก็พูดตามธรรมชาติของเขา
เพราะเขาเป็นผู้พูดเท็จ และเป็นบิดาของการพูดเท็จp
45แต่เราพูดความจริง
และท่านไม่ยอมเชื่อเรา
46ท่านผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าเราทำบาปq
ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา
47ผู้ที่มาจากพระเจ้า
ย่อมฟังพระวาจาของพระเจ้า
เหตุที่ท่านไม่ฟัง
ก็เพราะท่านไม่ได้มาจากพระเจ้า”
48ชาวยิวตอบพระองค์ว่า “เราพูดถูกแล้วมิใช่หรือว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรีย และถูกปีศาจสิง” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า
49“เราไม่ได้ถูกปีศาจสิง
แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา
และท่านล่วงเกินเรา
50เราไม่แสวงหาเกียรติของเรา
มีผู้อื่นที่แสวงหาเกียรติของเรา และเป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว
51เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา
ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย”
52ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย’ 53ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม บิดาของเรา ซึ่งตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน” 54พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
“ถ้าเราให้เกียรติตนเอง
เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร
ผู้ที่ให้เกียรติเราคือพระบิดาของเรา
ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’
55แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์
เรารู้จักพระองค์
ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’
เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน
แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์
56อับราฮัม บิดาของท่านได้ยินดี
ที่จะเห็นวันของเราr
เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว”s
57ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” 58พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น”
59คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์t แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร